มะพลับธารทอง, น้ำจ้อย' ออกผลเดือนไหน ชื่อวิทยาศาสตร์ ผลสุกกินได้' ผลไม้ป่าไทย
เนื้อหาข้อมูล "มะพลับธารทอง"
- มะพลับธารทอง คืออะไร
- ชื่อวิทยาศาสตร์
- ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- ออกผลช่วงเดือนไหน?
- การกระจายพันธุ์และถิ่นอาศัย
- การใช้ประโยชน์และสรรพคุณ
- สถานภาพของมะพลับธารทอง
มะพลับธารทอง คืออะไร
มะพลับธารทอง คือพืชชนิดหนึ่งในพรรณไม้ป่าไทย ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในประเทศไทย มะพลับธารทองเป็นพืชที่มีท่อลำเลียง (Vascular plants) ซึ่งอยู่ในหมวดพืชมีเมล็ด (Spermatophytes) โดยอยู่ในกลุ่มพืชดอก (Flowering plants) หรือ Angiosperms คือกลุ่มของพืชที่มีดอก มีรังไข่ และมีส่วนที่เรียกว่าออวุล (Ovule) เมื่อเกิดการปฏิสนธิ ออวุลจะเจริญไปเป็นเมล็ด และรังไข่ก็จะเจริญไปเป็นผล (Fruit) เพื่อห่อหุ้มเมล็ดนั้นไว้สำหรับการขยายพันธุ์พืชด้วยเมล็ดพันธุ์ต่อไป
ชื่อวิทยาศาสตร์
มะพลับธารทอง ชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า Diospyros bangoiensis Lecomte เป็นพันธุ์พืชในสกุล Diospyros ซึ่งอยู่ในวงศ์มะพลับ (Ebenaceae) โดยพืชวงศ์นี้อยู่ในอันดับ Ericales และยังมีชื่ออื่นอีกว่า น้ำจ้อย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
มะพลับธารทอง มีลักษณะเป็น ไม้ต้น สูงได้ถึง 12 ม. ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปรี กว้าง 2.5-3.5 ซม. ยาว 3-5 ซม. ปลายมนถึงเรียวแหลม โคนมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ผิวใบเกลี้ยง ก้านใบ ยาว 0.6-0.8 ซม. (ไม่มีข้อมูลดอก)
ผลกลม แป้น กว้างประมาณ 3.5 ซม. ยาวประมาณ 2.5 ซม. เมื่อสุกมีสีเหลืองอมส้ม ผิวผลมีขน สีน้ำตาลปกคลุม ขั้วผลมีกลีบเลี้ยงที่ขยายใหญ่ติดอยู่ กลีบเลี้ยงหนา ส่วนปลายแยกเป็น 4 แฉก รูปคล้ายสามเหลี่ยม ยาว 0.8-1.2 ซม. ส่วนปลายกลีบม้วนขึ้น เมล็ดรูปรี ยาว 1.8 ซม.
ออกผลช่วงเดือนไหน?
มะพลับธารทอง ออกผลช่วงประมาณเดือนมิถุนายน
การกระจายพันธุ์และถิ่นอาศัย
การกระจายพันธุ์ของมะพลับธารทอง พบได้ที่เวียดนาม สำหรับการกระจายพันธุ์และนิเวศวิทยาในประเทศไทย พบบริเวณสันเขาและหุบเขาใกล้กับน้ำตก ในจังหวัดนครพนม หนองคาย และบึงกาฬ ที่ระดับความสูงประมาณ 250 ม.
การใช้ประโยชน์และสรรพคุณ
การใช้ประโยชน์จากมะพลับธารทอง เป็นผลไม้ป่า ผลสุกรับประทานได้
สถานภาพของมะพลับธารทอง
มะพลับธารทอง เป็นพรรณไม้ที่ยังไม่เคยมีการประเมินสถานภาพมาก่อน, ถิ่นที่อยู่อาศัยถูกคุกคาม การประเมินสถานภาพตามเกณฑ์ IUCN (2001) ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (CR)
ที่มา : สำนักงานหอพรรณไม้. (2558). พืชที่ถูกคุกคามในป่าภูวัว-ภูลังกา. สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช.